วันอาทิตย์ที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556



          วันนี้จะพาลงใต้ไปเที่ยว หาดไร่เลย์ จังหวัดกระบี่กันค่ะ ไปดูบรรยากาศธรรมชาตอ แบบเมืองไทยกันค่ะว่าจะสวยงามมากแค่ไหน

หากจะพูดถึง ไร่เลย์ หรือ หาดไร่เลย์ อาจกล่าวได้ว่ายังไม่เป็นที่รู้จักของคนไทยกันเท่าไหร่นัก หากแต่ในสายตาของชาวต่างประเทศแล้ว หาดไร่เลย์ เป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติมาช้านาน มีรีสอร์ทสวยงามหลายระดับราคาอยู่มากมาย อาจเพราะความเงียบสงบ และแวดล้อมด้วยธรรมชาติที่สวยงาม

หาดไร่เลย์

หาดไร่เลย์ ตั้งอยู่ใน ตำบลอ่าวนาง อำเภอเมือง จังหวัดกระบี่ เป็นหาดทรายสีขาวละเอียดริมโตรกผา ซึ่ง หาดไร่เลย์ เป็นที่รู้จักดีในหมู่นักท่องเที่ยว โดยเฉพาะผู้ที่ชื่นชอบกิจกรรมปีนหน้าผา และ หาดไร่เลย์ แบ่งออกเป็น หาดไร่เลย์ตะวันออก (หาดน้ำเมา) และ หาดไร่เลย์ตะวันตก มีโขดหินคั่นระหว่างหาดทั้งสอง บริเวณหาดมีที่พักสำหรับนักท่องเที่ยวหลายแห่ง เดินทางเข้าถึงได้โดยทางเรือจากอ่าวนางใช้
เวลา 10 นาที

หาดไร่เลย์


หาดไร่เลย์

หาดไร่เลย์ หลายคนอาจเข้าใจว่าเป็น "เกาะ" แต่จริง ๆ แล้ว หาดไร่เลย์ ตั้งอยู่บนผืนแผ่นดิน แต่ที่ต้องเดินทางด้วยเรือ เพราะ หาดไร่เลย์ ถูกภูเขาล้อมรอบทุกด้าน ทำให้ผู้คนที่จะเดินทางมาเที่ยว หาดไร่เลย์ ต้องนั่งเรือเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ซึ่งนี่อาจเป็นอีกผลหนึ่งทำให้ชาวบ้านที่ หาดไร่เลย์ ยังไม่ถูกเทคโนโลยีหรือความเจริญกลืนกิน รวมถึงวิถีชีวิตของหมู่บ้านชาวประมงเล็ก ๆ ที่ปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัย โดยที่ยังรักษาขนบธรรมเนียมประเพณี และการใช้ชีวิตได้อย่างลงตัว


หาดไร่เลย์

          อย่างไรก็ตาม นอกจากน้ำสวย ทะเลใสแล้ว หาดไร่เลย์ ยังได้ชื่อว่ามี "พระอาทิตย์ตก" ที่สวยงามบาดตา เพราะเมื่อพระอาทิตย์ตก แสงแดดจะสะท้อนเงาจากหินลงไปที่อ่าว ภาพต้นมะพร้าวเรียงกันเป็นทิวแถว เรือประมงจอดเรียงรายที่ชายฝั่ง ภาพดังกล่าวเป็นเหมือนแดนสวรรค์อันสุขสงบ


หาดไร่เลย์
         
          นอกจากนี้ หาดไร่เลย์ ยังมีจุดเด่นที่กิจกรรมการปีนผา เพราะที่ หาดไร่เลย์ มีผาหินปูนมากมาย ซึ่งการปีนผาที่ ไร่เลย์ สามารถทำได้ทั้งปี โดยในช่วงเดือนเมษายนของทุกปี จะมีการจัดกิจกรรม "ปีนผา" และบริเวณที่นิยมปีนผาคือบริเวณ ไร่เลย์ตะวันออก อ่าวต้นไทร และ เขาแถวถ้ำพระนางใน


หาดไร่เลย์





และนี่คือ...หาดไร่เลย์ จังหวัดกระบี่ สถานที่ท่องเที่ยวในประเทศไทย อีกแห่งหนึ่งที่ไม่ควรพลาดไปเยือน




เที่ยวเมืองไทย ไม่ไปไม่รู้จริงๆค่ะ







ขอบคุณข้อมูลจาก kapook.com

วันอาทิตย์ที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2556

สวัสดีค่ะ วันนี้ไปเที่ยวบุรีรัมย์มา ที่อุทยานประวัติศาสตร์พนมรุ้ง เลยนำข้อมูลมาให้ศึกษาและภาพสวยๆมาโชว์เผื่อมีคนอยากไปค่ะ ไม่ขอนำภาพตัวเองลงนะค่ะ แต่ขอบอกว่าสวยมากจริงๆค่ะ ลองมาเที่ยวศึกษาประวัติศาสตร์ชาติกำเนิดของเรากันค่ะ แล้วคุณจะรักประเทศไทยมากขึ้นเมื่อได้เห็นสมบัติที่บรรพบุรุษสร้างขึ้นค่ะ
 
อุทยานประวัติศาสตร์พนมรุ้ง, บุรีรัมย์

ตั้งอยู่บนเขาพนมรุ้ง บ้านตาเป็ก ตำบลตาเป็ก จากตัวจังหวัดบุรีรัมย์ สามารถเดินทางไปพนมรุ้งได้ 2 เส้นทาง คือ
1. ใช้เส้นทางสายบุรีรัมย์-นางรอง (ทางหลวง 208) ระยะทาง 50 กม. เลี้ยวซ้ายเข้าทางหลวงสาย 24 ไป 14 กม. ถึงบ้านตะโก เลี้ยวขวาผ่านบ้านตาเป็กไปพนมรุ้งเป็นระยะทางอีก 12 กม.
2. ใช้เส้นทางสายบุรีรัมย์-ประโคนชัย ทางหลวงหมายเลข 23 เป็นระยะทาง 44 กม. จากตัวอำเภอ ประโคนชัย มีทางแยกไปพนมรุ้ง ระยะทางอีก 21 กม. (เส้นทางนี้ผ่านทางแยกเข้าปราสาทเมืองต่ำ ด้วย)
 ปราสาทหินพนมรุ้ง  รูปภาพ ปราสาทหินพนมรุ้ง เป็นเทวสถานในศาสนาฮินดู ลัทธิไศวนิกาย มีอายุการก่อสร้างและใช้เป็นเทวสถาน ต่อเนื่องกันมา หลายสมัย ตั้งแต่ประมาณพุทธศตวรรษที่ 15 ลงมาถึงพุทธศตวรรษที่ 17 จนถึงพุทธ ศตวรรษที่ 18 พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 แห่งอาณาจักรขอมหันมานับถือศาสนาลัทธิมหายาน เทวสถานแห่งนี้ จึงคงจะได้รับการดัดแปลงเป็นพุทธศาสนาลัทธิมหายานในช่วงนั้น
 
ตัวโบราณสถาน ตั้งอยู่บนยอดภูเขาไฟ ที่ดับสนิทแล้ว สูงประมาณ 200 เมตร จากพื้นราบ คำว่า "พนมรุ้ง" หรือ "วนํรุง" เป็นภาษาเขมรแปลว่า "ภูเขาใหญ่" ปราสาทพนมรุ้งหันไปทางทิศตะวันออก ประกอบ ด้วยอาคารและสิ่งก่อสร้างต่างๆ ที่ตั้งเรียง รายขึ้นไปจากลาดเขาทางขึ้นจนถึงปรางค์ประธาน บนยอดอัน เปรียบเสมือนวิมานที่ประทับของพระศิวะ บันไดทางขึ้นช่วงแรกทำเป็นตระพังสามชั้น ผ่านขึ้นมาสู่ พลับพลาชั้นแรก จากนั้นเป็นทางเดินซึ่งมีเสานาง เรียงปักอยู่ที่ขอบทางทั้งสองข้าง เป็นระยะๆ ถนนทางเดิน นี้ ทอดไปสู่สะพานนาคราช ซึ่งเปรียบเสมือนจุด เชื่อมต่อระหว่างดินแดน แห่งมนุษย์และสรวงสวรรค์ ด้าน ข้างของทางเดินทางทิศเหนือมีพลับพลาสร้าง ด้วยศิลาแลง 1 หลัง เรียกกันว่า โรงช้างเผือก สุดสะพาน นาคราชเป็นบันไดทางขึ้นสู่ปราสาท ซึ่งทำเป็น ชานพักเป็นระยะๆ รวม 5 ชั้น สุดบันไดเป็นชานชลา โล่งกว้าง ซึ่งมีทางนำไปสู่สะพานนาคราชหน้า ประตูกลางของระเบียงคด อันเป็นเส้นทางหลักที่จะผ่านเข้า สู่ลานชั้นในของปราสาท และจากประตูนี้ยังมี สะพานนาคราชรับอยู่อีกช่วงหนึ่งก่อนถึงปรางค์ประธาน
 สถานที่ท่องเที่ยวท่องเที่ยวท่องเที่ยว
  
ท่องเที่ยว
 
ปรางค์ประธาน หรือส่วนที่สำคัญที่สุด ตั้งอยู่ตรง ศูนย์กลางของลานปราสาทชั้นใน มีแผนผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสย่อมุมมณฑป คือห้องโถงรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า เชื่อมอยู่ทางด้านหน้าที่ส่วนประกอบของปรางค์ประธานตั้งแต่ฐานผนังด้านบนและด้านล่าง เสากรอบประตู เสาติดผนัง ทับหลัง หน้าบัน ซุ้มชั้นต่างๆ ตลอดจนกลีบขนุนปรางค์ล้วนสลักลวดลายประดับทั้งลวดลายดอกไม้ ใบไม้ ภาพฤาษี เทพประจำทิศ ศิวะ นาฏราช ที่ทับหลังและหน้าบันด้านหน้าปรางค์ประธาน ลักษณะของลวดลายและ รายละเอียดอื่นๆ ช่วยให้ กำหนดได้ว่าปรางค์ประธานพร้อมด้วยบันไดทางขึ้นและ สะพานนาคราช สร้างขึ้นเมื่อราวพุทธศตวรรษที่ 17
 สถานที่ท่องเที่ยวท่องเที่ยวท่องเที่ยว
  
ท่องเที่ยว
ภายในลานชั้นในด้านตะวันตกเฉียงใต้ มีปรางค์ขนาดเล็ก 1 องค์ ไม่มีหลังคา จากหลักฐานทาง ศิลปกรรมที่ปรากฏ เช่น ภาพสลักที่หน้าบันทับหลัง บอกให้ทราบได้ว่าปรางค์องค์นี้สร้างขึ้น ก่อนปรางค์ประธาน มีอายุ ในราวพุทธศตวรรษที่ 16
นอกจากนี้ยังมีฐานปรางค์ก่อด้วยอิฐซึ่งมีอายุเก่าลงไปอีก คือประมาณพุทธศตวรรษที่ 15 อยู่ด้าน ทิศตะวันออกเฉียงเหนือขององค์ประธานและที่มุมทิศตะวันออกเฉียงเหนือและทิศตะวันออกเฉียงใต้ มีอาคารรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าก่อด้วยศิลาแลง มีอายุราวพุทธศตวรรษที่ 18 ร่วมสมัยกันกับพลับพลา ที่สร้างด้วยศิลาแลง ข้างทางเดินที่เรียกว่า "โรงช้างเผือก"
กรมศิลปากรได้ทำการซ่อมแซมและบูรณะปราสาทหินพนมรุ้ง โดยวิธีอนัสติโลซิส คือ รื้อของเดิมลง มาโดย ทำรหัสไว้จากนั้นทำฐานใหม่ให้แข็งแรง แล้วนำชิ้นส่วนที่รื้อรวมทั้งที่พังลงมากลับไปก่อใหม่ ที่เดิม โดยใช้วิธีการสมัยใหม่ช่วย และเนื่องในวันอนุรักษ์มรดกไทย ปีพุทธศักราชที่ 2531 ได้มีพิธีเปิดอุทยาน ประวัติศาสตร์พนมรุ้งอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2531 โดยสมเด็จพระเทพรัตน ราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณเสด็จพระราชดำเนิน เป็นองค์ประธาน และปลายปีเดียวกัน ก็ได้รับทับหลังนารายณ์บรรทมสินธุ์กลับคืนมาจาก ประเทศสหรัฐอเมริกา ทำให้มีความงดงามและ สมบูรณ์ยิ่งขึ้น และในช่วงเทศกาลสงกรานต์ จะมีงานนมัสการรอยพระพุทธบาทพนมรุ้ง จัดในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 5 ของทุกปี เปิดให้เข้าชมทุกวัน เวลา 06.00-18.00น.ไม่เว้นวันหยุดราชการและวันหยุดนักขัตฤกษ์ ค่าเข้าชมชาวไทย 20 บาท ผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป และเด็กไม่เสียค่าเข้าชม ชาวต่างชาติ 100 บาท
การเดินทางไปชมปราสาทหินพนมรุ้งในกรณีที่ท่านมิได้นำรถยนต์ไปเอง ต้องใช้บริการของบริษัทขนส่ง จำกัด แล้วลงที่อำเภอนางรอง จะมีรถสองแถวรับจ้างเหมาขึ้นปราสาทพนมรุ้ง คันละประมาณ 200-300 บาท หรือติดต่อโดยตรงที่ สำนักงานอุทยานประวัติศาสตร์พนมรุ้ง โทร. (044) 666251-2






























วันเสาร์ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2555

วันนี้จะพาไปล่องใต้ ไปเที่ยว เกาะปันหยี จังหวัดพังงากันค่ะ
  
เมื่ออดีตนับ ย้อนหลังไปนับร้อยปี บรรพบุรุษของคนปันหยี เป็นครอบครัวชาวชวา จำนวน 3 ครอบครัว อพยพมาจากอินโดนีเซีย เพื่อค้นหาแหล่งทำกินที่ดีกว่าเดิม พวกเขาตกลงกันว่าหากใครพบที่ทำกินก่อน ให้ปักธงที่ยอดเขา ครอบครัวของ "โต๊ะบาบู" พบเกาะหนึ่งก่อนใคร จึงขึ้นไปปักธงไว้ที่ยอดเขา และตั้งชื่อเกาะนั้นว่า "ปันหยี" ที่แปลว่า "ธง"

          พื้นที่ส่วนใหญ่ของ เกาะปันหยี ตั้งอยู่ในทะเลอ่าวพังงา และบริเวณป่าชายเลนอุทยานแห่งชาติอ่าวพังงา มีหมู่บ้านจำนวน 4 หมู่บ้าน คือ บ้านท่าด่าน ตั้งอยู่บริเวณน้ำตื้นในอ่าวพังงา, เกาะปันหยี ตั้งอยู่บริเวณน้ำตื้นในอ่าวพังงา, เกาะไม้ไผ่ ตั้งอยู่บนเกาะและป่าชายเลนอ่าวพังงา และเกาะหมากน้อย ตั้งอยู่บนเกาะในอ่าวพังงา ประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม และประมาณร้อยละ 2 นับถือศาสนาอื่น ๆ และส่วนใหญ่ประกอบอาชีพด้านประมง เป็นหลัก นอกจาก นี้ยังมีการประกอบอาชีพ เช่น ทำสวนยางพารา สวนมะพร้าว อาชีพรับราชการ การค้าขายและรับจ้าง


เกาะปันหยีมีพื้นที่ที่เป็นแผ่นดินอยู่น้อย ชาว เกาะปันหยี จึงใช้ที่ตรงนี้เป็นที่ตั้งของศูนย์กลางหมู่บ้านและศาสนา ส่วนบ้านเรือน ร้านค้า และโรงเรียนตั้งอยู่ในน้ำ เดิมมีทางเดินเชื่อมถึงกันด้วยสะพานไม้ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นสะพานปูนในปัจจุบัน เวลาน้ำขึ้น "หมู่บ้านปันหยี" จึงแลดูเหมือนหมู่บ้านลอยน้ำ แต่พอน้ำลงจะเห็นว่าบ้านนับร้อยหลังนั้น ตั้งอยู่บนเสาที่ปักในเลนมาตั้งแต่อดีต

เมื่อมาที่ เกาะปันหยี ก็จะพบว่ามีร้านค้าเรียงรายตลอดสองทางเดิน แต่ถ้าหากต้องการเห็นวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้าน ต้องเดินเลยย่านการค้าไป จะได้พบกับศาลาประชาคม สภากาแฟ ร้านค้าสำหรับชาวบ้าน ร้านตัดผม โรงเรียน และมัสยิด ที่อยู่คู่กับชุมชนกลางทะเลมาตั้งแต่อดีต


ชุมชนมุสลิมที่ เกาะปันหยี เป็นกลุ่มที่มีวิถีชีวิตภายใต้บริบทวัฒนธรรมอิสลาม และอาชีพประมง อาศัยอยู่ร่วมกันในพื้นที่ที่จำกัดด้านนิเวศน์และโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งทำให้ชุมชมสนิทสนมใกล้ชิดกัน อีกทั้งกาลเวลาได้ผูกพันผู้คนทั้งเกาะให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นมชนชาว


นำภาพบรรยากาศสวยๆ บนเกาะปันหยีมาให้ชมค่ะ






 





 
ใครที่อยากหลบหนีความวุ่นวายในเมืองใหญ่ที่มีมลพิษค่อนข้างเยอะ ถ้ามีโอกาส อย่าลืมแวะไปเที่ยวรับอากาศบริสุทธิ์ที่เกาะปันหยีแห่งนี้กันนะค่ะ

วันอาทิตย์ที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2555

วันนี้จะพาทุกคนไปท่องเที่ยวแนวผจญภัยกันค่ะ 
ปีใหม่นี้ถ้ายังไม่มีโปรแกรมการเที่ยวที่ไหน ลองพิจารณาโปรแกรมนี้ดูนะค่ะ
กางเต้นท์ท่องป่าที่ห้วยขาแข้ง
ก่อนอื่นมาดูประวัตฺิความเป็นมากันก่อนนะค่ะ
เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้งเป็นป่ารอยต่อผืนใหญ่ที่ตั้งอยู่ที่ ตำบลแก่นมะกรูด อำเภอบ้านไร่ จังหวัดอุทัยธานี เป็นป่าที่มีพื้นที่ติดต่อกันถึง 5 จังหวัด ซึ่งพื้นที่ของเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง มีลักษณะค่อนข้างยาวจากเหนือถึงใต้ ตลอดพื้นที่ลุ่มน้ำห้วยขาแข้งครอบคลุมพื้นที่ ตำบลระบำ ตำบลป่าอ้อ อำเภอลานสัก ตำบลทองหลาง อำเภอห้วยคต ตำบลคอกควาย ตำบลแก่นมะกรูด อำเภอบ้านไร่ จังหวัดอุทัยธานี และบางส่วนของจังหวัดตาก ในท้องที่ตำบลแม่ละมุ้ง อำเภออุ้มผาง จังหวัดตาก มีแนวเขตติดกับแนวเขตจังหวัดนครสวรรค์ จังหวัดสุพรรณบุรี และจังหวัดกาญจนบุรี มีพื้นที่ทั้งหมด 1,737,587 ไร่ (2,780.14 ตารางกิโลเมตร) โดยมีอาณาเขตติดต่อดังนี้
               ทิศเหนือ             จดแนวเขตจังหวัดนครสวรรค์ เขตอุทยานแห่งชาติแม่วงก์
                                         เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอุ้มผาง และป่าสงวนแห่งชาติห้วยทับเสลา

               ทิศตะวันออก      จดป่าสงวนแห่งชาติห้วยห้วยทับเสลา - คอกควาย

               ทิศตะวันตก        จดเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร

               ทิศใต้                 จดอุทยานแห่งชาติเขื่อนศรีนครินทร์และอุทยานแห่งชาติพุเตย
เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้งถูกประกาศให้เป็นมรดกโลก โดยคณะกรรมการมรดกโลก องค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO) เมื่อวันที่ 9  ธันวาคม 2534 จากผลของความมุ่งมั่นและทุ่มเท และความหวังของ “สืบ นาคเสถียร” ที่มีต่อผืนป่าห้วยขาแข้งและทุ่งใหญ่นเรศวร ได้รับการตอบรับจากสังคม ทั้งในระดับชาติในนานาชาติ โดยองค์การยูเนสโก ได้ให้การยอมรับและประกาศรับรองให้เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง และทุ่งใหญ่นเรศวร เป็นพื้นที่มรดกทางธรรมชาติของโลก ซึ่งถือได้ว่าเป็นผืนป่าแห่งแรกของประเทศไทย ที่ได้รับการยอมรับในระดับโลกเช่นนี้
จากเหตุการณ์สำคัญเมื่อวันที่ 1 กันยายน 2533 “สืบ นาคเสถียร” ตัดสินใจที่จะต่อชีวิตสัตว์ป่าและบ้านของสัตว์ป่า โดยเรียกร้องให้สังคมหันมาตระหนักถึงปัญหาของการทำลายทรัพยากรธรรมชาติ ด้วยการใช้ชีวิตของตัวเองเป็นเดิมพัน นี้คือประวัติพอสังเขปของพื้นป่าที่มีคุณค่าแห่งนี้นะค่ะ
 มาดูกันดีกว่าค่ะว่าที่นี่มีอะไรให้เที่ยวชมบ้าง
เริ่มจาก อนุสรณ์สถาน สืบ นาคเสถียรนะค่ะ

ต่อด้วยอนุสาวรีย์ สืบ นาคเสถียร

แล้วก็บ้านพัก สืบ นาคเสถียร บ้านที่ ลุงสืบ ใช้เวลาทั้งหมด 8 เดือนในการทำงานที่นี่ ซึ่งจะมีบันไดที่เชื่อมต่อจากอนุสาวรีย์มาที่บ้านพักทั้งหมด 8 ขั้นหมายถึงการทำงานที่นี้มาทั้งหมด 8 เดือน

มาดูทางเดินศึกษาทางธรรมชาติกันบ้างนะค่ะ



เริ่มจากทางเดินศึกษาธรรมชาติเขาหินแดง ที่เราจะสามาถรเห็นสภาพป่าเต็งรัง ป่าเบญจพรรณ และมีพรรณไม้ในสังคมป่าดิบแล้ง ขึ้นผสมอยู่หลายชนิดและสามารถพบเห็นร่องรอยของสัตว์ผู้ล่า เช่น เสือโคร่งเสือดาว และสัตว์กินพืช เช่น เก้ง กวาง ช้างหมูป่า รวมทั้งนกนานาชนิด รวมระยะทาง 4.7 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินประมาณ 2-3 ชั่วโมง (มีเส้นทางสั้นระยะทาง 2.2 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินประมาณ1-2 ชั่วโมง)สามารถเดินได้ด้วยตนเองหรือติดต่อเจ้าหน้าที่เพื่อนำเดินศึกษาธรรมชาติ







ต่อกันด้วยทางเดินศึกษาธรรมชาติ จุดชมวิวเขาภักดี   เส้นทางส่วนใหญ่ผ่านป่าเต็งรัง เดินไต่ระดับตั้งแต่พื้นราบลัดเลาะไปตามสันเขา ซึ่งมีความลาดชันไม่มาก จนถึงยอดเขาที่ความสูง 330 เมตรจากระดับน้ำทะเล ระหว่างทางจะพบร่องรอยสัตว์ป่า ด่านสัตว์ป่า พรรณไม้ป่า และนกนานาชนิด มีจุดพักชมทิวทัศน์ ได้เป็นบริเวณกว้าง ในหลายจุด โดยเฉพาะในช่วงต้นฤดูแล้ง ที่จะเห็นความสวยงามของป่าเปลี่ยนสี อีกทั้งจุดที่สามารถมองเห็นโป่งซับยาง โป่งธรรมชาติที่มักพบ ช้าง วัวแดง เก้ง กวาง หมูป่า ลงมากินดินโป่ง ส่วนช่วงปลายเส้นทาง จะผ่านป่าเบญจพรรณที่อุดมสมบูรณ์ สิ้นสุดที่ลำห้วยทับเสลา ระยะทางรวม 3 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินศึกษาธรรมชาติประมาณ 1-2 ชั่วโมง







และที่สุดท้ายที่จะพาไปคือพื้นที่สุดท้ายที่อยู่ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง
ทางเดินศึกษาธรรมชาติ บ้านของเสือ เส้นทางเป็นทางราบผ่านป่าเต็งรังและป่าเบญจพรรณ เป็นเส้นทางที่มุ่งให้ความรู้เกี่ยวกับเสือโคร่ง สัตว์ผู้ล่าที่มีความสำคัญต่อระบบนิเวศ โดยแสดงวิธีการศึกษาวิจัยนิเวศวิทยาและการติดตามประชากรเสือโคร่ง ในเส้นทางสามารถพบเห็นรอยตีนทั้งเสือโคร่งและเสือดาว รวมทั้งร่องรอยการทำเครื่องหมายเพื่อบอกอาณาเขต เช่น รอยคุ้ย-ขี้ รอยพ่นฉี่ ร่องรอยของสัตว์กินพืชชนิดต่าง ๆ เช่น ช้าง วัวแดง กวาง เก้ง หมูป่า ลิง   ระยะทางรวม 800 เมตร ใช้เวลาเดินศึกษาธรรมชาติประมาณ 1 ชั่วโมง   ผู้ที่สนใจต้องติดต่อเจ้าหน้าที่เพื่อนำเดินศึกษาธรรมชาติเท่านั้น



และนี่คือลานกางเต้นท์  ที่ทางเขตฯห้วยขาแข้งจัดไว้สำหรับนักท่องเที่ยวที่มีความประสงค์จะกางเต้นท์ค่ะ แต่ถ้าต้องการพักที่บ้านพักก็มีนะค่ะแต่ต้องติดต่อไปล่วงหน้าอย่างน้อย 30 วันค่ะ ตอยกลางคืนที่ลานกางเต้นท์จะมีการ ฉายวีดีโอทัศน์ ด้วยนะค่ะ
นอกจากนี้ยังมีแหล่งท่องเที่ยวที่ไกลออกไปและต้องใช้เวลาในการเดินทาง รวมถึงรายละเอียดต่างๆเกี่ยวกับค่าเข้า (ที่บอกได้เลยค่ะว่าถูกมากๆ) ,ร้านค้าสวัสดิการและรายละเอียดอื่นๆ ที่สามารถเข้าไปดูกันได้ทางเว็บนี้นะค่ะ www.huaikhakheng.net

หลายคนคงสงสัยใช่ไหมค่ะว่าฉันได้อะไรตอบแทนหรือป่าวถึงได้โปรโมทกันขนาดนี้ ตอบตามความจริงเลยนะค่ะว่า ไม่ได้ แต่ที่โปรโมทเต็มที่แบบนี้เพราะคุณค่าของผืนป่าผืนนี้ที่แลกมากับชีวิตหลายชีวิตทั้งคนและสัตว์ป่า มันมีค่ามากมายจนไม่สามารถบรรยายเป็นคำพูดใดๆได้เลยค่ะ แต่เราจะมีวิธีการอย่างไรที่จะรักษาผืนป่านี้ไว้ให้คงอยู่ตราบนานเท่านาน ฉันจึงเลือกวิธีการร่วมอนุรักษ์โดยการเผยแพร่ให้ผู้อื่นได้รับรู้ถึงคุณค่าของป่าผืนนี้ค่ะ เพราะฉันคิดว่านี้น่าจะเป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะสามารถทำได้

และที่ฉันสามารถเล่าเป็นฉากๆได้ขนาดนี้ก็เพราะว่าฉันเคยไปเที่ยวที่นี่มาแล้วถึงสองครั้งเพราะติดใจในอากาศที่บริสุทธิ์มากๆ และก็สนุกกับการกางเต้นท์เองทำกับข้าวกินเอง ส่องสัตว์ตอนกลางคือนที่เวลามองข้ามลำห้วยแล้วจะเห็นด้วยตาแดงๆของเก้งและกวางนับร้อยคู่ที่ยืนประจันหน้ากับเราที่ฝั่งตรงข้าม ได้ดมฉี่ของเสือจริงๆที่ตอนแรกคิดว่ามันเหม็นแต่จริงๆแล้ว มันหอมคล้ายๆน้ำหอมเลยแหละ และที่น่าจำที่สุดก็ตอนไปรอบสองนี่แหละก็เดินไปตามทางผ่านตรงเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติ บ้านของเสือ อยู่ดีๆก็มีอะไรไม่รู้วิ่งผ่านหน้า ตอนแรกคิดว่าเป็นแมวป่าหรือหมาป่า แต่ที่ไหนได้พอตอนเช้าไปเดินศึกษาดู พี่ๆเจ้าหน้าที่ก็บอกว่า มันคือร่องรอยของ "เสือดำ"  โอ้โห เท่านั้นแหละ แทบเป็นลม เพราะตอนที่เดินมันเป็นตอนกลางคืนและไม่มีพี่ๆเจ้าหน้าที่เดินไปด้วยถามว่ากลัวไหมใจลึกๆก็ตอบได้เลยว่ากลัวมาก แต่พี่ๆเจ้าหน้าที่มักจะบอกเสมอว่า สัตว์ป่าที่รวมถึงเสือด้วยนั้นพวกมันมักจะไม่ทำอะไรคนหรอก มีแต่จะวิ่งหนี พอเราลองคิดตาม เออ ก็จริงนะ เพราะตอนนั้นมันก็วิ่งหนีเราจริงๆ และยังมีเหตุการณ์อีกมากมายที่น่าจดจำ รวมถึงคำกลอนเพาะๆที่ ลุงสืบ แต่งเองกับมือที่ฉันเชื่อว่ามันถูกแต่งออกมาจากจิตวิญญาณของคนที่มีอุดมการณ์ของการเป็นนักอนุรักษ์จริงๆ ถ้าได้ไปเที่ยวลองเดินอ่านกันดูนะค่ะ
นี่เป็นประสบการณ์เล็กๆน้อยๆที่เอามาแบ่งปันกันน่ะค่ะ แต่ถ้าอยากมีประสบการณ์ตรงต้องไปดูด้วยตาตัวเองสักครั้งค่ะรับรองเลยว่าสนุกจนหาคำบรรยายออกมาไม่ถูกเลย

ลองไปกันดูนะค่ะ

และฉันขอทิ้งท้ายด้วยภาพและคำพูดของ ลุงสืบ นาคเสถียร นะค่ะ

“ห้วยขาแข้งไม่ได้เป็นป่าปิด สำหรับสัตว์ป่าหรือคนเฉพาะกลุ่ม
ผมอยากให้ทุกคนได้เข้ามาสัมผัสป่าห้วยขาแข้ง มาเห็นสัตว์ป่า
จะได้รู้ว่าป่าห้วยขาแข้ง มีคุณค่า
จะได้เกิดความรัก เกิดความความหวงแหนป่าผืนนี้”










ขอขอบคุณข้อมูลจาก เขตรักษาพันธ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้งและเว็บไซต์

วันศุกร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

วันนี้ไม่ได้มานำเสนอที่เที่ยวนะค่ะ แต่จะชวนมาอ่านหนังสือคลายเครียดกัน
เป็นหนังสือนวนิยาย แนวโรมานซ์แอ็กชัน ชื่อเรื่องว่า "ปฏิบัติการล่า ตามหาหัวใจ" ของ ณารา  ค่ะ เป็นเรื่องของซีไอเอสาวกับทหารบกหนุ่มจากหน่วยรบพิเศษ ที่เป็นคู่ปรับกันตั้งแต่สมัยเด็กๆ แต่ต้องมาทำงานร่วมกันที่ประเทศไทยโดยได้รับหน้าที่ในการมาสืบหาสายลับที่หายตัวไปในรอยต่อชายแดนไทย-พม่า เรื่องราวของเขาและเธอจะเป็นอย่างไรติดตามอ่านได้ในหนังสือนะค่ะ .........................


เป็นหนังสือนิยายอีกเรื่องหนึ่งที่ดิฉันอ่านแล้วลงความเห็นได้ว่ามันสนุกมากค่ะ อยากลองแนะนำให้เพื่อนๆอ่านกันดูนะค่ะ

วันอาทิตย์ที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555